เป็นกลยุทธ์ที่มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มการมองเห็นของเว็บไซต์ในผลการค้นหาของ Google แต่ในบางครั้ง เว็บไซต์ที่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และใช้วิธีการ SEO ที่ถูกต้องอาจพบว่ามีเว็บไซต์ที่ใช้เทคนิค Black Hat SEO หรือวิธีการผิดกฎหมายแซงหน้าในผลการค้นหา การที่เว็บไซต์ที่ทำตามหลักเกณฑ์ของ Google ต้องเผชิญกับการแข่งขันจากเว็บไซต์ที่ใช้เทคนิคไม่ถูกต้องอาจทำให้รู้สึกท้อแท้ แต่การเข้าใจกลยุทธ์ที่เหมาะสมและการปรับตัวอย่างถูกต้องจะช่วยให้สามารถยืนหยัดในตลาดได้ในระยะยาว
ในบทความนี้ เราจะพาไปดูวิธีการที่คุณสามารถใช้เมื่อเจอกับสถานการณ์นี้ โดยเน้นการป้องกันไม่ให้เว็บไซต์ของคุณตกอันดับ และการใช้กลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการทำ SEO ที่ถูกต้องตามหลักการ E-E-A-T (Experience, Expertise, Authoritativeness, Trustworthiness) ซึ่ง Google ให้ความสำคัญมากขึ้นในการประเมินคุณภาพของเว็บไซต์
1. ทำความเข้าใจพฤติกรรมของเว็บไซต์สายดำ
การที่เว็บไซต์ใช้ Black Hat SEO หรือวิธีการผิดกฎหมายเพื่อแซงหน้าคู่แข่งนั้น ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการใช้เทคนิคที่ Google ไม่ยอมรับ เช่น
- การซื้อ Backlinks การซื้อหรือแลกเปลี่ยนลิงก์ย้อนกลับ (Backlinks) จากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ
- Keyword Stuffing การใช้คีย์เวิร์ดมากเกินไปหรือการใช้คำซ้ำๆ โดยไม่มีความหมายที่แท้จริง
- Cloaking การแสดงเนื้อหาที่แตกต่างกันสำหรับผู้ใช้งานและ Google Bot
- Hidden Text การซ่อนข้อความในหน้าเว็บไซต์เพื่อหลอกลวง Google
- Doorway Pages การสร้างหน้าเว็บที่มีคำสำคัญจำนวนมากแต่ไม่มีเนื้อหาที่มีคุณค่า
แม้ว่าวิธีการเหล่านี้อาจช่วยให้เว็บไซต์มีอันดับที่ดีในช่วงแรก แต่ในระยะยาวการใช้เทคนิคที่ผิดกฎหมายจะทำให้เว็บไซต์ตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะโดนลงโทษจาก Google ซึ่งอาจส่งผลให้เว็บไซต์ตกอันดับหรือแม้แต่ถูกถอดออกจากผลการค้นหา
2. มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเว็บไซต์ให้มีคุณภาพสูง (E-E-A-T)
เมื่อคุณพบว่าเว็บไซต์ที่ใช้เทคนิคผิดกฎหมายแซงหน้าเว็บไซต์ที่ทำ SEO อย่างถูกต้อง คุณควรกลับมาโฟกัสที่การพัฒนาเว็บไซต์ของคุณให้ตรงตามหลัก E-E-A-T ซึ่งประกอบด้วย
- Experience (ประสบการณ์) เนื้อหาของคุณต้องสะท้อนถึงประสบการณ์จริงและข้อมูลที่มีประโยชน์แก่ผู้ใช้งาน การที่คุณสร้างเนื้อหาที่มาจากผู้เชี่ยวชาญหรือมีประสบการณ์จริงจะทำให้เว็บไซต์ของคุณมีความน่าเชื่อถือ
- Expertise (ความเชี่ยวชาญ) เนื้อหาควรถูกสร้างขึ้นโดยผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนั้น ๆ การอ้างอิงข้อมูลที่เชื่อถือได้และการให้รายละเอียดที่ลึกซึ้งจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของคุณ
- Authoritativeness (ความเป็นผู้นำ) เว็บไซต์ของคุณต้องแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำในเรื่องที่เกี่ยวข้อง เช่น การได้รับการอ้างอิงจากแหล่งที่เชื่อถือได้ หรือการมีการแบ่งปันเนื้อหาที่มีคุณค่าจากผู้ใช้งานหรือเว็บไซต์อื่น ๆ
- Trustworthiness (ความน่าเชื่อถือ) Google จะมองหาความน่าเชื่อถือในเว็บไซต์ของคุณ เช่น ความโปร่งใสในการเผยแพร่ข้อมูล การมีข้อมูลติดต่อที่ชัดเจน หรือการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลผู้ใช้งาน
การสร้างเว็บไซต์ที่มีคุณภาพสูงตามหลักการ E-E-A-T จะทำให้คุณมีความได้เปรียบในระยะยาว แม้จะมีการแข่งขันจากเว็บไซต์ที่ใช้วิธีการที่ผิดกฎหมาย
3. การสร้างเนื้อหาคุณภาพที่มีคุณค่าต่อผู้ใช้งาน
การให้ความสำคัญกับการสร้าง Content หรือเนื้อหาที่มีคุณภาพสูงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการแข่งขันในตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เว็บไซต์ที่มุ่งเน้นการสร้างเนื้อหาที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ จะได้รับการยอมรับจาก Google และสามารถดึงดูดผู้เข้าชมได้มากขึ้น ซึ่งรวมถึง
- การใช้ข้อมูลที่ถูกต้องและทันสมัย หมั่นอัปเดตเนื้อหาของเว็บไซต์เพื่อให้ข้อมูลที่เผยแพร่นั้นเป็นปัจจุบันและมีความถูกต้อง
- การให้ความสำคัญกับคำถามและคำค้นหาที่เกี่ยวข้อง การตอบคำถามที่ผู้ใช้งานมักจะค้นหาบน Google จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย
- การทำ Long-Form Content การสร้างเนื้อหายาวที่ให้ข้อมูลอย่างละเอียดและครบถ้วนช่วยให้ Google มองเห็นเว็บไซต์ของคุณว่าเป็นแหล่งข้อมูลที่มีคุณค่า
4. สร้าง Backlinks ที่มีคุณภาพ
การสร้าง Backlinks ที่มีคุณภาพและเกี่ยวข้องเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ Google ใช้ในการจัดอันดับเว็บไซต์ แม้ว่าบางเว็บไซต์จะใช้เทคนิค Black Hat SEO เช่นการซื้อ Backlinks หรือการสร้างลิงก์จากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ แต่เว็บไซต์ที่ทำ SEO อย่างถูกต้องควรมุ่งเน้นไปที่การสร้าง Backlinks จากแหล่งที่มีคุณภาพ เช่น
- การร่วมมือกับผู้เขียนหรือบล็อกที่มีความน่าเชื่อถือ การสร้างเนื้อหาที่มีคุณค่าและขอให้ผู้เชี่ยวชาญหรือบล็อกที่มีความน่าเชื่อถือให้ Backlink มายังเว็บไซต์ของคุณ
- การเขียนบทความหรือ Guest Posts การเขียนบทความที่มีคุณภาพและส่งไปยังเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องเพื่อแลกเปลี่ยนลิงก์
- การใช้การรีวิวและคำแนะนำจากผู้ใช้จริง การได้รับการรีวิวจากผู้ใช้จริงหรือจากเว็บไซต์ที่เชื่อถือได้ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและคุณภาพของ Backlinks
5. ปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้งาน (User Experience)
หนึ่งในสิ่งที่ Google ให้ความสำคัญในปัจจุบันคือ Core Web Vitals ซึ่งวัดประสบการณ์ของผู้ใช้งานที่เว็บไซต์มอบให้ เช่น ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บไซต์ ความเสถียรของเนื้อหา และการตอบสนองของเว็บไซต์
การปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้งานจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับในผลการค้นหาของ Google และช่วยลดโอกาสที่เว็บไซต์ของคุณจะตกอันดับเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในอัลกอริธึม
- ทำให้เว็บไซต์โหลดเร็ว ลดขนาดของภาพและไฟล์ต่าง ๆ และใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อเพิ่มความเร็วในการโหลดหน้าเว็บไซต์
- ออกแบบเว็บไซต์ที่ใช้งานง่าย สร้างเว็บไซต์ที่มีการนำทางที่ชัดเจนและเป็นมิตรกับผู้ใช้งาน
6. การรายงานเว็บไซต์ที่ใช้เทคนิคผิดกฎหมาย
หากคุณพบว่าเว็บไซต์บางแห่งใช้เทคนิคที่ผิดกฎหมาย เช่น การใช้ Backlinks ที่ไม่ถูกต้องหรือการใช้เทคนิค Black Hat SEO ที่ชัดเจน คุณสามารถใช้เครื่องมือของ Google เช่น Google Webmaster Tools เพื่อรายงานพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเหล่านี้ได้
การที่เว็บไซต์ที่ใช้เทคนิคผิดกฎหมายแซงหน้าเว็บไซต์ที่ทำ SEO อย่างถูกต้องอาจทำให้รู้สึกท้อแท้ แต่การรักษามาตรฐานการทำ SEO ตามหลัก E-E-A-T และการให้ความสำคัญกับการสร้างเนื้อหาคุณภาพ, การสร้าง Backlinks ที่มีคุณภาพ, และการปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้งานจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณยืนหยัดในตลาดได้ในระยะยาว การใช้เทคนิค SEO ที่ถูกต้องตามหลักการของ Google จะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและความยั่งยืนให้กับเว็บไซต์ของคุณ แม้ว่าจะต้องใช้เวลาสักระยะในการเห็นผลที่ชัดเจน